สุนันท์ ศรีจันทรา
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลกลับสู่ความคึกคักอีกครั้ง โดยราคาขยับขึ้นแทบทั้งกลุ่ม และมีหลายตัวที่ราคาขยับขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหุ้น บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น THG โดยปิดที่ 76.50 บาท เพิ่มขึ้น 9 บาท หรือเพิ่มขึ้น 13.33% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 758.59 ล้านบาท
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลได้รับการประสานเสียงจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์หลายสำนัก แนะนำให้นักลงทุนซื้อ เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามยูเครน แต่มีปัจจัยกระตุ้นหลายด้าน เช่น รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดีอาระเบีย ทำให้คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการเติบโตขึ้น
THG เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2560 หลังนำหุ้นเสนอขายนักลงทุนเป็นครั้งแรกในราคา 38 บาท แต่ราคาต่ำกว่าจองตั้งแต่ประเดิมซื้อขายวันแรก และเพิ่งราคาเหนือจองเมื่อต้นปี 2565
ผลประกอบการ THG ไม่เติบโตมากนัก ทำให้ค่าพี/อี เรโชสูง ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนต่ำ นักลงทุนจึงไม่ให้ความสนใจ เพราะมีหุ้นโรงพยาบาลตัวอื่นที่ปัจจัยพื้นฐานดีกว่า และแนวโน้มผลประกอบการสดใสกว่า
ปี 2563 ผลประกอบการ THG ทรุดฮวบ กำไรสุทธิเหลือเพียง 62.43 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีกำสุทธิ 462.39 ล้านบาท ราคาหุ้นจึงทรงๆ ทรุดๆ และสิ้นปี 2564 ปิดที่ 37.25 บาท
แต่เริ่มเข้าสู่ปี 2565 หุ้นมีความเคลื่อนไหวที่คึกคักขึ้น จนวันที่ 12 มกราคม ราคาแตะ 38 บาท หรือแต่ราคาจองเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยปิดที่ 38 บาท ก่อนจะเริ่มดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังประกาศผลประกอบการปี 2564 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565
ผลกำไรปี 2564 เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิ 1,337.43 ล้านบาท ราคาหุ้นจึงพุ่งทะยานจนมาปิดที่ 76.50 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจุดปิดเมื่อสิ้นปี 2564 จำนวน 39.25 บาท หรือเพิ่มขึ้น 105.36%
จากหุ้นโรงพยาบาลที่ถูกเมินมา 5 ปี และจะสร้างข่าวอย่างไรก็ปลุกหุ้นไม่ขึ้น จนนักลงทุนที่ถือหุ้นราคาจองหงุดหงิด โดยบางคนทนไม่ไหวยอมตัดขายขาดทุนทิ้ง แต่ผลประกอบการที่เติบโตก้าวกระโดด พร้อมกับกระแสเชียร์หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ทำให้ THG เป็นหุ้นโรงพยาบาลบอีกตัวที่ไม่อาจมองข้าม
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลส่วนใหญ่ ค่าพี/อี เรโชสูง โดย THG มีค่าพี/อี เรโชประมาณ 54 เท่า และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 1% ปัจจัยพื้นฐานจึงไม่โดดเด่น
เพียงแต่กระแสหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลขณะนี้ ซื้อกันเพราะความคาดหวังแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโต โดยมีปัจจัยหนุนหลายด้าน นักลงทุนจึงไล่เก็บหุ้นโรงพยาบาล หุ้นตัวไหนยังไม่ขึ้นจึงมีแรงซื้อเข้าไปไล่ราคา จนเป็นหุ้นที่โดดเด่นในสถานการณ์สงครามยูเครนและการแพร่ระบาดของไวรัส “โควิด”
อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket